วิกฤตข้ามแดน! แม่น้ำกก-โขงยังเฝ้าระวัง มลพิษกัดกินชีวิตริมน้ำ

วิกฤตข้ามแดน! แม่น้ำกก-โขงยังเฝ้าระวัง มลพิษกัดกินชีวิตริมน้ำ
สถานการณ์แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ยังคงน่ากังวลอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการติดตามและแก้ไขปัญหามาโดยตลอด แต่ผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน ยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ รวมถึงระบบนิเวศโดยรวม
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวแทนจากภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สมาคมธนาคารไทย, หอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 2 ได้ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
ปัญหาที่ยังคงอยู่
ปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปล่อยมลพิษภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมลพิษข้ามพรมแดน จากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างท้าทาย
- การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งในและต่างประเทศ ยังคงเป็นปัญหาหลัก
- การใช้สารเคมีทางการเกษตร ที่ไหลลงสู่แม่น้ำ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในน้ำ
- การทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูล ลงในแม่น้ำโดยประชาชน ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขในระยะยาว
ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน
ภาคเอกชนได้เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ดังนี้:
- การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน อย่างจริงจัง
- การบังคับใช้กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด
- การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร
- การรณรงค์ให้ความรู้ แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
- การสนับสนุนการวิจัย เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูระบบนิเวศ ของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง
อนาคตของแม่น้ำกก-โขง
การแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน หากเราไม่เร่งแก้ไขปัญหาในวันนี้ อนาคตของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมน้ำ อาจตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างร้ายแรง
การลงทุนในการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศและภูมิภาค