ดื่มนมจืด 2 แก้วต่อวัน: กรมอนามัยชวนคนไทยทุกวัยสู่สุขภาพแข็งแรง สมวัย!
2025-06-01

มติชน
กรมอนามัยเร่งรณรงค์ดื่มนมจืดเพื่อสุขภาพดี
กรมอนามัย กระตุ้นให้คนไทยทุกช่วงวัยหันมาดื่มนมจืดวันละ 2 แก้ว เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงและเติบโตอย่างสมวัย โดยนมจืดเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน รวมถึงการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
ทำไมต้องดื่มนมจืด? คุณค่าที่คุณอาจยังไม่รู้
นมจืดไม่ได้มีดีแค่รสชาติกลมกล่อมเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้:
- เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง: แคลเซียมและวิตามินดีในนมจืดช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในระยะยาว
- เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: โปรตีนในนมจืดเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหรือต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: นมจืดมีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย
- บำรุงสมอง: นมจืดมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มสมาธิและความจำ
- ให้พลังงาน: นมจืดเป็นแหล่งพลังงานที่ดี ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและพร้อมทำงานตลอดวัน
ดื่มนมจืดอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การดื่มนมจืดให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควร:
- ดื่มเป็นประจำ: ควรดื่มนมจืดอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว หรือตามความเหมาะสมกับช่วงวัยและกิจกรรมประจำวัน
- เลือกนมจืดคุณภาพดี: เลือกนมจืดที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างสะอาด และไม่มีสารปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น
- ดื่มพร้อมมื้ออาหาร: การดื่มนมจืดพร้อมมื้ออาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
- ผสมกับอาหารอื่นๆ: สามารถนำนมจืดมาผสมกับอาหารอื่นๆ เช่น ซีเรียล ผลไม้ หรือสมูทตี้ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
นมจืดเหมาะกับใครบ้าง?
นมจืดเหมาะกับทุกคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ไปจนถึงนักกีฬา หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะ:
- เด็กและวัยรุ่น: ต้องการแคลเซียมและวิตามินดีเพื่อการเจริญเติบโต
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร: ต้องการสารอาหารเพื่อบำรุงร่างกายและลูกน้อย
- ผู้สูงอายุ: ต้องการแคลเซียมเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
- นักกีฬา: ต้องการโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
กรมอนามัยจึงขอเชิญชวนคนไทยทุกวัย หันมาดื่มนมจืดเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง ตลอดช่วงชีวิต
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข